วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

เรียน แบบประหยัดเงิน

      เพื่อนๆหลายคนอยากเรียนหนังสือแบบถูกๆ และถ้าฟรีมันก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดนิ(ตามประสาคนรู้จักคุณค่าของเงินอะนะ)

       1 เรียนผ่านทางอินเตอร์เน็ต (เดี๋ยวนี้ที่www.youtube.com ก็มีวีดีโอที่สอนเกี่ยวกับเรื่องภาษาอยู่หลายคลิปทีเดียวทั้งไม่เสียค่าใช้จ่ายและเราก็ได้เล่นเน็ตด้วยและเราก็สามารถเก็บไว้ดูวันอื่นๆเพื่อทวนความจำอีกก็ได้  จิงปะ ^______^)

        2 ถ้าเพื่อนๆที่บ้านไม่ได้ต่ออินเตอร์เน็ตหรือกลัวว่าไปใช่อินเตอร์เน็ตที่ร้อนเน็ตมันจะแพงนะ ก็ไปที่ห้องสมุดชุมชน หรือหอสมุดแห่งชาติหรือห้องสมุดที่มหาลัยก็ได้นะ (ฟรี)

        3 ห้องสมุดเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญมาก ใหญ่มากและไม่เสียเงินมาก(อันนี้สำคัญสุดอะสำหรับเรานะ^___^) มีทุกอย่างที่คุณอยากรู้ ทุกภาษา ในเน็ตก็จะมีเว็ปไซด์หลายเว็ปทีเดียวที่ให้ความรู้แต่ถ้าจะเรียนภาษาให้ดีแนะนำให้โหลดเพลงมาฟังและจะดียิ่งขึ้นถ้าเราไปหาโหลดเนื้อเพลงมาด้วยเพื่อสะดวกนะการอ่านทำความเข้าใจและการฮำตามไปเบาๆ  การฟังบ่อยๆและฮำเพลงบ่อยๆมันจะทำให้เราได้สำเนียงมากขึ้นและได้ความเพลิดเพลินมากขึ้นด้วย

        4 การหาเพื่อนเป็นชาวต่างชาติซักคนก็ทำให้เราสามารถฝึกภาษาได้อีกเช่นกันถูกบ้างผิดบ้างเค้าก็ไม่เครียดอะไรหรอก(เผื่อบางทีอาจได้แฟนเป็นชาวต่างชาตฺด้วยก็ได้) หรืออาจจะหาแรงบัลดาลใจที่เป็นชาวต่างชาติ เช่น จีน เกาหลี อังกฤษ ที่แบบว่าหล่อๆ55555 ก็ได้แล้วคอยติดตามดูเค้าห่างๆแบบว่าพยายามอ่านบทความของเค้าจะทำให้เราได้ภาษาเพิ่มขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว(อันนี้เราเคยทำแล้ว5555555 Q (^0^) v ภาพ ชูสองนิ้วและกำหมัดแบบภูมใจ)

        5 พยายามใช้คำศัพท์บ่อยๆ ถ้าให้ดีลงทุนซื้อดิกส์ซักเล่มเพื่อที่อยากจะพูดคำไหนแล้วไม่รู้ก็ไปเปิดหาได้

        6 ของทุกชิ้นที่เป็นของๆเรา ถ้าให้ดีและอยากได้ศัพท์เพิ่มก็เอาคำศัพท์ที่แปลนั้นไปแปะไว้ตามส่วนต่างๆที่อยู่ในห้องเรา ของทุกชิ้นของเรา พอใช้ของก็อ่านก่อนใช้ทุกครั้งก็จะทำให้จำได้มากและจำได้นานขึ้นด้วยแถมยังเป็นแบบว่าเอกลักษณ์ของของใช้ส่วยตัวเราอีกด้วยใครยืมไปนี่ไม่ต้องกลัวลืมกันเลยทีเดียว

          แบบว่าตอนนี้นึกไม่ออกแล้วไว้มีอะรนึกได้เพิ่มเติมยังไงเดี๋ยวจะรีบนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆอ่านกันก็แล้วกันนะจร้าตัวเอง

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการตลาดของร้านค้าที่เป็นอันตรายกับกระเป๋าเงินของเรา

1.การตั้งราคาที่น่าซื้อคือตั้งราคาให้ลงท้ายด้วยเลข  9  เช่น  99  199  เป็นต้น  เพราะการตั้งราคาแบบนี้จะทำให้เรารู้สึกว่าสินค้ามีราคาถูก  ได้รับส่วนลดมากแล้วก็จะทำให้เราอยากซื้อโดยไม่คิดว่าจำเป็นกับเราในขณะนั้นหรือไม่

2.เทคนิคที่บอกกับลูกค้าว่าถ้ามียอดสั่งซื้อมากจะได้ของแถม  เทคนิคนี้จะทำให้เราอยากซื้ออีกเหมือนกันโดยที่ซื้อมาแล้วมันอาจจะเกินความจำเป็นก็ได้

3.รถเข็นในห้างสรรพสินค้า  มันมีหลุมพลางซ่อนอยู่  เพราะเวลาเราไปซื้อของเราก็อยากซึ้อให้เต็มรถ  นั่นจะทำให้เราสิ้นเปลืองมาก ฉนั้นควรเลือกใช้ตะกร้าแทนรถเข็นของจะได้เต็มเร็วๆ จะทำให้เรารู้สึกว่าเราซื้อเยอะแล้วนะ

4.การเขียนป้ายกำกับสินค้าว่า "สินค้ามีจำนวนจำกัด  หมดแล้วหมดเลย"  จะทำให้เรารู้สึกว่าจะต้องรีบซื้อไม่งั้นหมดแล้วจะอด ถ้าพลาดโอกาสนี้แล้วจะไม่มีอีก  แต่หลายวันหลังจากซื้อไปแล้วที่ร้านก็ยังติดป้ายอยู่

5.การโฆษณาที่บอกแต่ข้อดีของสินค้า ไม่เคยพูดถึงข้อเสียเลย  ทั้งที่ความเป็นจริงข้อเสียของสินค้านั้นอาจมีมากกว่าข้อดีเสียอีก

6.สินค้าที่มีของเเถม  ก็ทำให้เราอยากที่จะเสียเงินซื้อ  เพราะว่าอยากได้ของแถม  ทั้งที่ของแถมนั้นเมื่อได้มาประโยชน์ที่ได้รับจากของสิ่งนั้นจะน้อยถึงน้อยมากที่สุด

7. ติดป้ายว่า "ลดกระหน่ำ" "ถูก" ตัวใหญ่ๆ ที่ก็ทำให้เราอยากเสียเงินอีกเหมือนกัน  เพราะถ้าไม่ซื้อแล้วจะเสียดาย  ซึ่งทั้งที่จริงแล้วร้านค้าก็ติดป้ายนั้นทุกวัน



มีความรู้ทางการเงินก็ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าได้


1.มีสมุดบัญชีเงินฝากหลายเล่ม

การฝากเงินควรแบ่งเงินฝากตามจุดประสงค์ เช่น เงินฝากรายรับหนึ่งเล่ม เงินฝากรายจ่ายหนึ่งเล่ม เงินฝากเงินออมหนึ่งเล่ม การทำเช่นนี้จะทำให้เราสามารถความคุมการใช้จ่ายเงินของเราได้ง่านขึ้น ดีกว่าฝากเงินทั้งหมดไว้ในบัญชีเงินฝากเดียวกันหมด

2.บัญชีเงินฝากที่ไม่ได้ใช้

คือ บัญชีเงินฝากที่เปิดทิ้งไว้แล้วไม่ได้ใช้งาน เพราะคิดว่าเงินที่เหลือเป็นเงินจำนวนไม่มาก และอีกอย่างถ้าเราทิ้งไว้แบบนั้นก็จะทำให้เสียเงินไปเปล่าๆ เพราะธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมทุกปี

3.ก่อนกดเงินที่ATMคิดให้ดี

การกดเงินที่ตู้ ATM ต่างธนาคารที่ไม่ใช่ธนาคารเจ้าของบัญชีเงินฝากจะทำให้เสียค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะการกดเงินข้ามจังหวัดค่าธรรมเนียมสูงมาก ฉนั้นก่อนไปไหนควรเช็คเงินในกราะเป๋าให้ดีจะได้ไม่ต้องกดเงินข้ามจังหวัด

4.มีธนาคารประจำที่เดียว

เพราะเงินฝากมีดอกเบี้ยถ้ามีเงินฝากในบัญชีมาก ดอกเบี้ยที่ได้ก็จะมากไปด้วย



สิ่งที่ต้องมีควบคู่ไปกับการประหยัดเงิน
            สิ่งที่ต้องมีควบคู่ไปกับการประหยัดเงินก็คือ การรู้จักธนาคาร ไม่ได้หมายความว่ารู้ว่าธนาคารมีอะไรบ้างแต่ให้รู้ว่าในธนาคารเค้ามีเงินฝากประเภทใดบ้าง แต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และร่วมสร้างนิสัยให้คุ้นเคยกับธนาคารกันดีกว่าค่ะ
1 ให้ของขวัญลูกเป็นสมุดเงินฝากธนาคาร/ สลากออมสินก็ได้
2  ทำให้ตนเองสนใจในเรื่องการลงทุน  ต้องรู้จักว่าการลงทุนมีการลงทุนประเภทใดบ้าง  ต้องรู้ว่าการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่ high risk ก็ high return นะจร้า
3 ต้องทำความรู้จักและความเข้าใจกับงบการเงินแต่ละประเภทเพื่อศึกษาว่าหุ้นตัวใดควรลงทุนและคุ้มค่ามากที่สุดกับการลงทุนในแต่ละครั้ง
3 ให้ค่าขนมผ่านธนาคาร เพราะจะช่วยให้เด็กๆรู้จักควบคุมการใช้เงินของตัวเองได้ดีขึ้น
4 การรู้จักคุนค่าของเงินว่าเงินกว่าจะได้มาแต่ละบาทแต่ละสตางค์มันมีค่ามากเพียงใด อาจเริ่มจากการให้เด็กๆรู้จักทำงานิ่งที่ดีและให้เงินเป็นสิ่งตอบแทน หรือให้เด็กรู้ค่าของสิ่งขิงจากการที่ให้เด็กๆ รู้จักเก็บเงินและรอเวลาเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่เด็กๆอยากได้ ไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก้เด็กง่ายเกินไปเพราะจะทำให้เด็กๆไม่รู้จักค่าของสิ่งของและที่สำคัญไม่รู้จักค่าของเงิน
5 การสอนให้เด็กๆรู้จักทำรายรับรายจ่ายก็จะทำให้เด็กๆมีนิสัยชอบการจดบันทึกและยังสามารถระมัดระวังการใช้เงินของตัวเองด้อีกด้วย เริ่มแรกอาจเป็นการบังคับให้เด็กๆเขียนมาส่งคุณพ่อ คุณแม่ก่อน พอเด็กทำเรื่องๆ ทำทุกวันก็จะติดเป็นนิสัยและเด็กจะทำจนติดตัวเด็กๆไปตลอดซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
6 การรู้จักหลักเศรษฐศาสตร์บ้างก็จะช่วยในเรื่องการจัดการเงินได้ดียิ่งขึ้นนะจร้า

วิธีหาเงินเพิ่ม

การหาเงินเพิ่มจากค่าขนมนั้นเพิลื่อนๆสามารถหาได้จากหลายทางด้วยกันนะ
1 เก็บพวกขวดพลาสติก กระป๋องสเตนเลต  ไปขายโดยเฉพาะกระป๋องเตสนเลตนั้นได้เงินมากทีเดียว  กระป๋องยาคูก็ขายได้นะ
2 หาว่าในห้องนอนของเรามีอะรที่ไม่ได้ใช้แล้วบ้าง หรืออะไรที่ใช้แล้วเบื่อไปแล้วบ้าง นำไปทำความสะอาดหรือตกแต่งเพิ่มเพื่อนำมาขายได้อีกครั้ง
3 แผ่นซีดี หนัง ซีดี การ์ตุนที่ไม่ดูแล้วเบื่อแล้วสามารถนำมาขายได้(ต้องไม่ใช่แผ่นที่ละเมิดลิขสิทธินะเดี๋ยวโดนจับ)
4 นำกระดาษที่ไม่ใช้แล้วไปพับถุงก็ขายได้นะ
5 ทำกระปุกออมสินหลายๆใบและตั้งเป้าหมายสำหรับกระปุกออมสินแต่ละใบเพื่อเป็นแรงบัลดาลใจในการออม
6 การใช้ของแบบทนุภนอมก็สามารถทำให้มีเงินเพิ่มได้นะเพราะเมื่อไม่ใช้แล้วก็นำไปขายแถมได้ราคาดีด้วยเพราะดูแลเป็นอย่างดี เช่น โต๊ะรีดผ้าก็ใช้แบบไม่ต้องแกะพลาสติกออกแล้วเวลาจะรีดผ้าก็เอาผ้าอื่นมาปูก่อนจะยืดอายุการใช้งานของโต๊ะรีดผ้าได้มาก
7 เด็กๆหลายคนชอบซื้อยางลบกันมาก เด็กๆลองไปดูในกระเป๋าตัวเองว่ามียางลบมากเกินจำเป็นหรือเปล่า เอาไปขายให้เพื่อนๆได้อาจจะลดลงจากก้อนละบาทก้กลายเป็น2ก้อนบาทอะไรประมาณนั้น
8 เด็กๆหลายคนชอบอ่านหนังสือการ์ตูนและมีหนังสือการ์ตูนเป็นจำนวนมากลองเอาไปให้เพื่อนเช่าอ่านก็เป็นการเพิ่มรายได้ได้อีกทางหนึ่งนะหรือจะเอาไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนอ่านก็ไนก็ถือเป็นการประหยัดเงินค่าหนังสือการ์ตูนเพิ่มอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ข้อปฏิบัติ 10 ประการของเศรษฐี

1.มีความสนใจในเรื่องเศรษฐกิจและการเงินเป็นพิเศษ


ในมือของคนที่ขั้นเครื่องบินระหว่างประเทศชั้นหนึ่งส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารรายสัปดาห์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงิน แต่ถ้าเป็นชึ้นสองคนส่วนใหญ่จะอ่านเกี่ยวกับกีฬา หนึ่งในสิ่งที่คนที่นั่งชันหน่งสนใจมากที่สุดคือเรื่องเงิน และต้องพยายามที่จจะรับข้ามูลข่าวสารเกี่ยวกับเงินอยู่เสมอดังนั้นจึงหาเงินได้มาก

2.มีความสามารถและพยายามทำอย่างเต็มที่

เวลาตัดสินใต้องคิดอย่างรอบคอบ ซึ่งต้องดูความสามารถและเชื่อในการตัดสินใจของตัวเอง และถ้าได้ตัดสินใจทำอะไรไปแล้วจะต้องพยายามทำอย่างเต็มที่ อย่ามัววิตกกังวลเพราะจะเสียเวลาไปเปล่าๆ

3.มีความสามารถในการปรับตัวสูง

ถ้าลองสังเกตดูจะพลแต่คนที่บ่นโทษสถานการณ์รอบตัวแต่เศรษฐีจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อปรับตัวมากกว่าการโทษสิ่งรอบตัว

4.ประหยัดมัธยัสถ์

คนส่วนใหญ่จะคิดว่าถ้าจะเป็นเศรษฐีได้ต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ แต่เหตุผลที่ทำให้คนเป็นเศรษฐีไม่ได้ไม่ใช่เพราะหาเงินได้ไม่มาก แต่เพราะไม่รู้จักใช้เงินที่หามาได้อย่างประหยัดต่างหาก

5.รวมใจเป็นหนึ่งเดียว

ถ้ามีคนในครอบครัวตั้งใจประหยัด แต่อีกคนฟุ่มเฟือย หรือถ้ทั้งครอบครัวพร้อมใจกันฟุ่มเฟือยก็คงเป็นเศรษฐีไม่ได้ ทุกคนจะต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียวช่วยกันประหยัด จึงจะเป็นครอบครัวเศรษฐีได้

6.ไม่เสียดายเรื่องการเรียน

เศรษฐีจะประหยัดทุกด้าน แต่จะไม่เสียดายเงินในเรื่องการศึกษาหาความรู้ หรือวิธีหาเงิน เพราะอีกไม่นานเงินนั้นจะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่กลับมา

7.คิดในแง่ดี

เศรษฐีจะคิดในแง่ดีและเชื่อว่าความฝันจะเป็นจริงได้ แรคิดในแง่ดีอยู่เสมอ จะทำให้มีพลังที่จะขยันตั้งใจทำงานมากยิ่งขึ้น ความคิดในแง่ร้อยอย่าง “จะดีจริงๆเหรอ” “ฉันจะทำได้เหรอ” เป็นตัวขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นเศรษฐี

8.รู้จักประหยัดเวลา

เศรษฐีคือคนที่รู้ค่าของเวลา เศรษฐีจะใช้เวลาเพื่อเพิ่มทรัพย์สินหรือหาเงิน คนส่วนใหญ่จะพูดว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ แต่กลับไม่รู้จักบริหารและใช้เวลาให้คุ้มค่า

9.มีเป้าหมายชัดเจน

คนที่จะเป็นเศรษฐีได้ต้องมีความมุ่งมั่นและเป้าหมายที่ชัดเจนเข้าใจความสำคัญและความเสี่ยงของเงิน และปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย

10.สุขภาพดี

เพราะเศรษฐีมีเป้าหมายและความปรารถนาที่ชัดเจน จึงต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ เวลาที่เจ็บป่วยไม่สบาย จะทำให้ไปถึงเป้าหมายยากขึ้นจำไว้ให้ดี

นิสัยประหยัด 10 ประการ

1.พกขวดน้ำติดตัวออกไปข้างนอก


การพกขวดน้ำออกไปด้วยข้างนอกทำให้เราไม่ต้องไปซื้อน้ำดื่ม เท่ากับว่าเราประหยัดค่าเครื่องดื่มไปได้หลายบาทต่อวัน

2.ทำตัวให้ว่องไวอยู่เสมอ

การออกไปไหมมาไหนให้ออกจากบ้านเร็วขึ้นประมาณ 10 นาที จะได้ไม่ต้องกลัวไปสายเพราะรถติด และถ้าระยะทางไม่ไกลก็ควรเดิน หรือไม่ก็ขี่จักรยานไป ได้ประหยัดเงินและดีต่อสุขภาพด้วยเพราะถือว่าได้ออกกำลังกายไปในตัว

3.ไม่ทิ้งของที่ใช้ครั้งเดียว

เช่นตัวอย่างของจานพลาสติก ถ้าล้างให้สะอาดก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เวลาแบ่งกับข้าให้เพื่อนบ้านจะได้สะดวกเพราะไม่ต้องนำกลับมาคืนให้ยุ่งยาก

4.เวลาอ่านหนังสือให้ไปที่หอสมุด

เพราะหอสมุดจะมีหนังสือให้เลือกเยอะแยะมากมาย และจัดไว้เป็นหมวดหมู่ เราสามารถหาได้ง่าย หาไม่เจอก็ถามบรรณารักษ์ แล้วก็สามารถยืมมาอ่านที่บ้านได้ ไม่ต้องเสียเงินซื้อ

5.คิดอีกครั้งก่อนซื้อ

คิดอีกครั้งก่อนซื้อก็คือ ต้องถามตัวเองก่อนว่าสิ่งที่จะซื้อนั้น “จำเป็นจริงๆหรือ” หรือ “ถ้าไม่มีแล้วเราจะอยู่ไม่ได้เหรอ” การทำเช่นนี้จะช่วยหยุดความอยากซื้อได้

6.จดวันที่ซื้อและชื่อสิ่งของที่ซื้อเอาไว้

ช่วยให้รู้ระยะเวลาการใช้งาน และเกิดความรักในสิ่งของ ทำให้ระมัดระวังไม่ทำหาย และใช้ของทิ้งขว้าง

7.กินข้าวพร้อมกันทั้งครอบครัว

ทำให้เปิดตู้เย็น เปิดแก๊ส และแม่ก็ลำบากน้อยลง ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีขึ้นด้วย

8.เช่าได้ไม่ต้องซื้อ

ในพิธีสำคัญต่างๆ ทุกคนอยากจะใส่ชุดสวยๆ ต้องซึ้อชุดใหม่เพื่องานวันเดียวถือเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินไป เราอาจจะประหยัดด้วยวีธีการเช่าชุดแทนการซื้อใหม่ก็ได้

9.เปิดพัดลมประหยัดกว่าเปิดแอร์

ถ้าไม่ร้อนมากเกินไปก็ควรจะเปิดพัดลมและใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่ต้องเปิดแอร์ให้สิ้นเปลือง ช่วยประหยัดค่าไฟได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงจะเปิดแอร์ก็ควรเปิดที่ 25 องศาเซลเซียส

10.ระวังคูปองเงินสดและคูปองส่วนลดที่ได้มา

คูปองเหล่านี้เป็นวิธีจูงใจของผู้ประกอบการ คนทั่วไปอาจคิดว่ามันประหยัดแต่ความจริงแล้วอาจจะเป็นการสิ้นเปลืองกว่าเดิม เพราะข้อกำหนดในการใช้คูปองจะต้องซื้อครบตามราคาที่กำหนดถึงจะใช้ได้ถ้าไม่ครบก็ไม่สามารถใช้ได้และจะทำให้เราซื้อของเกินความจำเป็นนั่นเอง